สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประชาชนชาวเมืองกุมหลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

ประชาชนชาวเมืองกุมหลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

ประชาชนชาวเมืองกุมหลายพันคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำ ถือว่า การโจมตีด้วยขีปนาวุธยังฐานทัพอากาศสหรัฐในอิรัก เมื่อช่วงเช้าวันนี้(8 มกราคม) เป็นเพียงการตบหน้าฉาดเดียวเท่านั้นเอง และท่านผู้นำยังได้เน้นอีกว่า การเผชิญหน้าอย่างแท้จริงก็คือ จะต้องทำให้การประจำการอันเลวร้ายและบ่อนทำลายของสหรัฐในภูมิภาคนี้ต้องยุติลงด้วย โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ด้วยเกียรติอันยิ่งใหญ่ในการเป็นชะฮีดและการมีจิตวิญญาณอันสูงส่งของฮัจญ์ กอเซ็ม สุไลมานี ได้ทำให้เมืองต่างๆของอิหร่านและอิรัก กลายเป็นดั่งวันแห่งการฟื้นคืนชีพในพิธีการแห่ศพของท่าน และในพิธีการส่งร่างบริสุทธิ์เหล่านี้ เป็นการแสดงให้ประชาคมโลกได้เห็นว่า การปฏิวัติอิสลามนั้นยังไม่ตายและยังมีชีวิตอยู่ และข้าพเจ้าจึงขอน้อมคารวะต่อวิญญาณอันสูงส่งของชะฮีด ผู้เป็นที่รักยิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับอิหร่านและภูมิภาค(ตะวันออกกลาง)”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ให้เห็นว่า “การเป็นชะฮีดของขุนพล ผู้ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับอิสลามและอิหร่าน ฮัจญ์ กอเซ็ม สุไลมานี ชะฮีดท่านนี้ เป็นดั่งมิตรที่ดี ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้กล้าหาญ และช่างโชคดีเสียนี่กระไรที่ท่านนั้นได้ขึ้นสูงฟากฟ้าแล้ว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวอธิบายถึงคุณลักษณะพิเศษของชะฮีด สุไลมานี ผู้หาญกล้า โดยท่านผู้นำ ถือว่า ความกล้าหาญ และการวางแผนที่รอบคอบ คือ สองลักษณะพิเศษของชะฮีดผู้นี้ และท่านผู้นำยังกล่าวย้ำอีกว่า “บางคนเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญ แต่ไม่มีการวางแผนที่รอบคอบ ขณะที่บางคนนั้นผู้ที่วางแผนที่รอบคอบ แต่ก็ไม่มีความกล้าหาญในการปฏิบัติการและการกระทำ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ฮัจญ์ กอเซ็ม  ท่านเป็นทั้งผู้ที่มีความกล้าหาญ ตั้งแต่ในช่วงการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต แม้ว่าบางครั้งท่านก็เกือบจะพบกับความตาย ขณะเดียวกัน ท่านนั้นก็เป็นนักวางแผน นักคิดและผู้ที่ใช้ตรรกะอย่างถูกต้องในการปฏิบัติการ ไม่ใช่เพียงแค่ในสนามทางทหารเท่านั้น แต่ทว่าท่านยังเป็นผู้กล้าหาญและผู้วางแผนที่รอบคอบทางการเมืองอีกด้วยเช่นกัน ถ้อยคำพูดของท่านนั้นเป็นคำพูดที่เด็ดขาดเต็มไปด้วยตรรกะ ทั้งยังมีผลเป็นอย่างมาก และข้าพเจ้าก็ได้กล่าวมาแล้วหลายครั้งในความเป็นจริงนี้กับบรรดามิตรสหายในแวดวงทางการเมือง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีความบริสุทธิ์ใจของนายพล ฮัจญ์ กอเซ็ม สุไลมานี ผู้สร้างความภาคภูมิใจ คือ ลักษณะที่สูงส่งยิ่งกว่าลักษณะทั้งหมดของท่าน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า “ท่านเป็นผู้กล้าหาญและผู้ที่วางแผนรอบคอบเพื่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง ท่านนั้นไม่ได้เป็นผู้โอ้อวด ซึ่งเราจะต้องมีการฝึกฝนและความพยายามในลักษณะพิเศษอันนี้ นั่นหมายถึง การมีความบริสุทธิ์ใจ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ยกตัวอย่างในการมีความบริสุทธิ์ใจของฮัจญฺ กอเซ็ม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ในการประชุมอย่างเป็นทางการกับบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ท่านจะนั่งอยู่ห่างไกลจากสายตาทั้งหลาย และจะต้องค้นหาท่าน เพื่อที่จะมองเห็นท่านได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การระมัดระวังในขอบเขตทางหลักศาสนบัญญัติในทุกๆสถานการณ์หรือแม้แต่ในสมรภูมิรบก็ตาม ก็คือ อีกลักษณะที่พิเศษของฮัจญ์ กอเซ็ม โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ท่านนั้นเป็นผู้บัญชาการที่เป็นนักรบที่มีความสันทัดทางทหาร แต่ในสมรภูมิรบ ท่านก็ยังรักษาขอบเขตทางศาสนบัญญัติด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะไม่มีผู้ใดได้รับการกดขี่และการละเมิดสิทธิ ขณะที่ส่วนมากในแวดวงทางทหารนั้นไม่มีการรักษาขอบเขตทางศาสนาบัญญัติแต่อย่างใด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการระมัดระวังของนายพล สุไลมานีในการรักษาชีวิตของมิตร บรรดานักต่อสู้และเพื่อนร่วมงานของท่าน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ลักษณะที่สำคัญของฮัจญ์ กอเซ็ม ก็คือ ท่านนั้นไม่ได้เป็นผู้ที่ฝักใฝ่ฝ่ายทางการเมืองและพรรคการเมืองใดในประเทศ แต่ท่านนั้นเป็นนักการปฏิวัติอย่างแท้จริง และได้ยืนหยัดบนเส้นทางอันแสงไสวและมีเกียรติยิ่งของท่านอิมามโคมัยนี ทั้งในการปฏิวัติและการเป็นนักการปฏิวัติ ก็คือ เส้นสีแดง(เส้นอันตราย) อย่างแท้จริงสำหรับท่าน ฮัจญ์ กอเซ็ม เป็นผู้ที่มีแรงดึงดูดในการปฏิวัติอย่างถ่องแท้ ขณะที่บางคนนั้นพยายามที่จะทำให้ข้อเท็จจริงนั้นมีค่าลดน้อยลง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การจัดการทุกแผนการที่ไม่ชอบธรรมของสหรัฐในภูมิภาคเอเชียตะวันตก คือ อีกตัวอย่างหนึ่งในการวางแผนที่รอบคอบและความกล้าหาญของชะฮีด สุไลมานี โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เหล่าศัตรูของฮัจญ์ กอเซ็มต่างๆนั้นทราบดีในข้อเท็จจริงเหล่านี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า ฮัจญ์ กอเซ็ม ได้ยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับทุกแผนการณ์ต่างๆที่ได้รับการสนับสนุนด้วยเงิน ขีดความสามารถ อิทธิพลทางการเมือง และกลุ่มองค์กรต่างๆอย่างกว้างขวางของสหรัฐ โดยท่านได้เข้ามาขัดขวางและทำให้ไม่มีผลแต่อย่างใด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวอธิบายถึงบทบาทอันไม่เสมอเหมือนผู้ใดของนายพล สุไลมานีในประเด็นปาเลสไตน์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “พวกสหรัฐต่างต้องการให้ประเด็นปาเลสไตน์ต้องถูกลืมเลือนไป และพวกเขาจะกระทำการงานทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้ชาวปาเลสไตน์นั้นอ่อนแอและไม่สามารถกล้าหาญในการลุกขึ้นมาต่อสู้กับพวกเขา แต่ทว่าบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ ได้ทำให้ชาวปาเลสไตน์ทั้งหลายนั้นมีความกล้าหาญในการลุกขึ้นมาต่อสู้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการเปิดเผยของเหล่าผู้นำชาวปาเลสไตน์ในประเด็นนี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ฮัจญ์ กอเซ็ม ได้ทำให้เขตพื้นที่ๆเล็ก อย่างเช่น เขตฉนวนกาซามีความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยที่ว่า เมื่อเวลาผ่านไปเพียง 48 ชั่วโมง พวกเหล่านั้นต้องร้องขอสงบศึกหยุดยิงในทันที”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อธิบายถึงบทบาทของนายพล สุไลมานี ในการทำให้แผนการต่างๆของสหรัฐต้องพบกับความล้มเหลวในอิรัก โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “พวกสหรัฐฯต้องการทำให้อิรักเป็นเหมือนระบอบเผด็จการหรือเป็นเหมือนบางระบอบเผด็จการ เช่น ซาอุดิอาระเบีย ที่พวกเขาเรียกพวกเหล่านี้ว่า เป็นดั่งวัวนม แต่ฮัจญ์ กอเซ็ม ด้วยการช่วยเหลือของบรรดาผู้ศรัทธาและเยาวชนผู้กล้าหาญชาวอิรักและผู้นำระดับสูงของอิรักได้ทำให้แผนการเหล่านี้ต้องพบกับความล้มเหลว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า ในเลบานอนก็เช่นเดียวกัน พวกสหรัฐต่างต้องการทำให้เลบานอนหมดโอกาสในใช้ประโยชน์จากปัจจัยที่สำคัญที่สุดแห่งอิสรภาพ นั่นคือ กลุ่มฮิซบุลลอฮ์ เพื่อที่จะทำให้พวกรัฐเถื่อนไซออนิสต์ได้เข้ามายึดครองเลบานอนโดยที่ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ อย่างเช่น ในบางประเทศ แต่ทว่า กลุ่มฮิซบุลลอฮ์นั้น มีกำลังพลที่เข้มแข็งมากขึ้นในแต่ละวัน โดยที่ว่าในวันนี้ ก็อยู่ในมือของเลบานอนและสายตาของพวกเขาด้วยเช่นกัน ซึ่งถือว่าชะฮีด ผู้กล้าหาญและมีความรอบคอบนั้นมีบทบาทที่เด่นชัดในประเด็นนี้อีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า วันนี้ ประชาชาติทั้งหลายต่างได้ตื่นขึ้นมากันแล้ว โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ชะฮีด สุไลมานีและมิตรสหายของท่าน ดังเช่น ชะฮีด อะบูมะฮ์ดี อัลมุฮันดิส ซึ่งเขาเป็นบุรุษที่มีศรัทธา และความกล้าหาญ ทั้งยังได้มีภาพลักษณ์อันสว่างไสวแห่งพระเจ้า จนกระทั่ง พวกเขานั้นสามารถทำให้การงานที่ยิ่งใหญ่บรรลุสู่เป้าหมายได้เป็นผลสำเร็จ”

ในอีกส่วนหนึ่งของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดได้กล่าวถึงเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ของชะฮีด สุไลมานี โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ในเวลาที่ชะฮีดท่านนี้ขึ้นมากล่าวรายงาน ข้าพเจ้าก็ได้ยกย่องเขาด้วยหัวใจและด้วยคำพูด แต่บัดนี้ ด้วยกับเกียรติยศในการเป็นชะฮีดของท่าน ทั้งสิ่งต่างๆที่ท่านได้สร้างไว้ให้กับประเทศและภูมิภาค ข้าพเจ้าจึงต้องขอน้อมคารวะต่อท่าน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เกียรติยศอันยิ่งใหญ่นี้ ที่แสดงให้เห็นถึงวันแห่งการฟื้นคืนชีพในพิธีการแห่ศพของชะฮีดท่านนี้และบรรดามิตรสหายที่ร่วมกับท่านนั้น เป็นที่มาจากผลของการมีจิตวิญญาณของท่าน โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “พวกท่านทั้งหลายได้เห็นพิธีการส่งร่างบริสุทธิ์ของบรรดาชะฮีดของชาวอิหร่านและชาวอิรัก ทั้งในเมืองกาซิมัยน์ กรุงแบกแดด เมืองนะญัฟ และกัรบาลา และในพิธีการแห่ศพของร่างที่เป็นชิ้นส่วนเหล่านี้ ซึ่งข้าพเจ้าต้องขอกล่าวขอบคุณต่อวิญญาณอันบริสุทธิ์ของชะฮีด ผู้ทรงยิ่งใหญ่ผู้นี้อย่างลึกซึ้ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า การเป็นชะฮีดของฮัจญ์ กอเซ็ม สุไลมานีและพิธีการแห่ศพที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใด เป็นการแสดงให้เห็นว่าการปฏิวัติอิสลามนั้นยังไม่ตาย โดยท่านผู้นำยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “บางคนต้องการบอกว่า การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านนั้นได้จบสิ้นสุดแล้ว และบางคนก็ต้องการจะทำให้เป็นเช่นนี้ แต่การเป็นชะฮีดของฮัจญ์ กอเซ็ม แสดงให้เห็นว่า การปฏิวัติอิสลามนั้นยังไม่ตายและทุกๆคนได้เห็นแล้วในกรุงเตหะรานและในเมืองอื่นๆว่า ช่างเป็นวันแห่งการฟื้นคืนชีพที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นว่า สายตาทั้งหลายที่เปื้อนฝุ่นได้ถูกเปิดออกด้วยกับการเป็นชะฮีดของฮัจญ์ สุไลมานี และเหล่าศัตรูต่างก็ยอมศิโรราบต่อความยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “การเข้าร่วมของประชาชาติอิหร่านในพิธีการตัชยีอ์(การแห่ศพ) ได้ปิดปากเหล่าศัตรูและพวกสหรัฐที่ไม่มีความชอบธรรม จอมมุสาและหลอกลวงที่ต้องการเสนอว่านักต่อสู้ ผู้ยิ่งใหญ่อย่างนายพล ผู้บัญชาการที่ได้ต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายนั้น เป็นผู้ก่อการร้ายคนหนึ่ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่ขมขื่นที่เกิดขึ้นในพิธีการตัชยีอ์ ชะฮีด สุไลมานี ในจังหวัดเคอร์มาน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอกล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของบรรดาผู้เสียชีวิตและหวังเป็นยิ่งว่า วิญญาณของพวกเขา จะได้พบกับชะฮีด สุไลมานี”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงเหตุการณ์การโจมตีขีปนาวุธยังฐานทัพของกองกำลังสหรัฐ ผู้ก่อการร้ายในอิรัก เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (8 มกราคม) โดยกล่าวว่า “ประเด็นการแก้แค้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง เมื่อคืนนี้ เราได้ตบหน้าพวกเขา (พวกสหรัฐ) ไปแล้วหนึ่งฉาด แต่ในการเผชิญหน้ากันทางทหารเท่านี้ยังถือว่าไม่เพียงพอ แต่การประจำการอยู่ในภูมิภาคของสหรัฐ ผู้ชั่วร้ายนั้น จะต้องยุติลงได้แล้ว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นอีกว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ประชาชาติและประเทศทั้งหลายในภูมิภาคก็ไม่ยอมรับในการประจำการของสหรัฐ ผู้ชั่วร้าย โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “การประจำการในภูมิภาคของพวกเขา และไม่ว่าในสถานที่ใดในโลก นอกจาก สงคราม ความแตกแยก การก่อความเสียหาย การบ่อนทำลายและการทำลายโครงสร้างพื้นฐานต่างๆแล้วไม่มีผลลัพท์ใดๆทั้งสิ้น โดยพวกเขาด้วยกับการก่อความชั่วร้ายและบ่อนทำลายนี้ ได้ทำให้ชาวอิหร่านและสาธารณรัฐอิสลามนั้นมีความหวังในการนั่งโต๊ะเจรจา เพื่อเป็นอารัมภบทที่นำไปสู่การแทรกแซงและการประจำการของพวกเขา ด้วยเหตุนี้เอง การประจำการในภูมิภาคของพวกสหรัฐ ก็จะต้องยุติลง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรู้จักศัตรู คือ หนึ่งในหน้าที่ของประชาชนทุกคน โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “อย่าได้ทำให้การรู้จักศัตรูนั้นเกิดความผิดพลาด ขณะที่ทุกคนต้องเข้าใจด้วยว่า ศัตรูหมายถึง มหาอำนาจ จอมอหังการ รัฐเถื่อนไซออนิสต์และสหรัฐอเมริกา  แต่พวกเขาต่างพยายามอย่างมากในการใช้วิธีการที่ซับซ้อนเพื่อที่จะดำเนินการเปลี่ยนแปลงมุมมองของประชาชนในกรณีประเด็นศัตรู”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า อีกหนึ่งในหน้าที่ๆสำคัญของประชาชนทุกคนในสถานการณ์ปัจจุบัน คือ การทำความเข้าใจต่อแผนการของศัตรูและรู้จักวิธีการในการป้องกัน โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “หากว่าสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ต้องปราศจากความต้องการ การช่วยเหลือ และการมีวิสัยทัศน์ในเชิงบวกและเจตนามุ่งมั่นของประชาชน ก็จะไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น ดังนั้น ประชาชนก็จะต้องรู้จักถึงแผนการของศัตรูและวิธีการในการป้องกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ให้เห็นถึงการมีบุคคลที่กล้าหาญและการวางแผนที่รอบคอบในประเทศ ทางด้านต่างๆทางการทหาร ศาสตร์ ความรู้ การเมืองและทางเศรษฐกิจ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “จะต้องรับฟังคำพูดของบุคคลเฉกเช่นนี้ ทั้งยังจะต้องให้ความสนใจในข้อเสนอแนะในการดำเนินการระดับประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า “ดังเช่นที่ท่านอิมามโคมัยนี ผู้สูงส่ง ถือว่า การจุดประกายเปิดประตูแห่งการปฏิวัติอิสลาม คือ การอบรมบรรดาเยาวชนทั้งหลายที่มีความกล้าหาญและมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ วันนี้ บุคคลเช่นนี้ที่ได้รับการอบรมจากสำนักคิดของท่านอิมามโคมัยนีมีจำนวนมากมายในประเทศ และจะต้องใช้มีการประโยชน์จากศักยภาพของพวกเขาในการเผชิญหน้ากับการวางแผนต่างๆของศัตรู”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นอีกว่า ศัตรู หมายถึง สหรัฐ  รัฐเถื่อนไซออนิสต์และกลุ่มบริษัทต่างๆ ผู้ละเมิดและก่อความฉ้อฉลต่อโลก ที่พวกเขาอยู่ภายใต้ชาติมหาอำนาจ จอมอหังการ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ตราบใดที่บางรัฐบาลทั้งในภูมิภาคและนอกภูมิภาค พวกเขายังไม่มีการเคลื่อนไหวเพื่อรับใช้ศัตรู ก็จะต้องไม่เรียกพวกเขาว่าเป็นศัตรู”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า แผนการหลักของศัตรู คือ การสร้างช่องว่างให้เกิดกับการมีเจตนามุ่งมั่นของประชาชนและเยาวชนทั้งหลาย โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “พวกเขาต่างพยายาม ด้วยกับความสงสัยในความศรัทธาและความกระดากอายทางศาสนาของประชาชน โดยทำให้สาธารณรัฐอิสลามนั้นไม่มีความสามารถในการโจมตีและการป้องกัน แต่ทว่าแผนการร้ายของสหรัฐ มิใช่เฉพาะกับกลยุทธ์นี้เท่านั้น ขณะที่พวกเขายังต้องการสร้างความเสียหายให้เกิดกับรัฐอิสลาม ทั้งแวดวงทางการเมือง เศรษฐกิจ และประเด็นความมั่นคง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การวางแผนของเหล่าศัตรูของประชาชาติอิหร่านก่อนเหตุการณ์ในเดือนอาบานนั้น เป็นหนึ่งในแผนการร้ายทางความมั่นคง โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ก่อนเหตุการณ์ในเดือนอาบาน พวกสหรัฐได้ร่วมมือกับชาวอิหร่าน สมุนรับจ้างจำนวนหนึ่งในประเทศที่เล็ก แต่ความเป็นจริง เป็นประเทศที่เลวร้ายอย่างมากของยุโรปได้มารวมตัวกันและมีการวางแผนการก่อนที่เหตุการณ์ต่างๆจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ขณะที่ประชาชนถือว่าเหตุการณ์น้ำมันเบนซิน(การกำหนดอัตราการให้บริการน้ำมันเบนซินของรัฐบาล) เป็นช่วงเวลาที่ขมขื่น ขณะที่บางคนที่มีจำนวนไม่มากนักออกมาในฐานะของผู้ประท้วง พวกเขาถูกหลอกลวง และเป็นผู้ที่ทำงานรับจ้างศัตรู ได้เตรียมการพร้อมก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ และกลุ่มหนึ่งจากพวกนี้ได้ให้เงินกับทหารรับจ้าง โดยเริ่มต้นในการปฏิบัติการตามแผนการที่วางไว้ นั่นหมายถึง การทำลายข้าวของ การจุดไฟเผาสถานที่ การบุกเข้าทำลายสถานที่รัฐบาลและสาธารณชนเพื่อที่จะทำให้เกิดสงครามกลางเมือง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ว่า พวกสหรัฐต่างดีใจในช่วงแรกๆของเหตุการณ์ดังกล่าว โดยพวกเขาคิดว่าการงานของอิหร่านนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว และท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “แต่ที่จริงแล้ว หลังจากนั้น สองวันต่อมา เป็นที่กระจ่างชัดว่าการงานของพวกเขาต่างหากล่ะที่ได้จบลง ไม่ใช่ของอิหร่าน ซึ่งพวกเขาก็ได้รู้สึกเสียใจและเศร้าใจเป็นอย่างมาก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้แนะนำให้ทุกคนต้องมีความเฉลียวฉลาดหลักแหลมต่อแผนการของศัตรูและการให้ความสนใจหลายประเด็นหลัก กล่าวคือ  พื้นฐานต่างๆทางความคิดของการปฏิวัติอิสลาม และเอกภาพแห่งชาติ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ช่างดียิ่งนัก ที่เราได้เห็นเอกภาพในระหว่างพิธีการแห่ศพของชะฮีด สุไลมานี และบรรดาชะฮีดที่ร่วมกับท่านในหมู่ประชาชนทั้งหลาย โดยที่จะต้องมีการรักษามันไว้ และการกำหนดทิศทางให้กับประชาชน การเป็นนักการปฏิวัติอิสลาม และการเทอดเกียรติต่อบรรดาวีรบุรุษแห่งการปฏิวัติ บรรดาชะฮีดและการรำลึกถึงคุณค่าแห่งการปฏิวัติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นอีกว่า ความเป็นปฏิปักษ์ของฝ่ายศัตรูกับประชาชาติอิหร่านนั้นเป็นปฏิปักษ์อย่างแก่นแท้และตลอดไป มิใช่เป็นศัตรูตามฤดูกาลหรือแบบชั่วคราว โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “วิธีการในการป้องกัน ก็คือ เราจะต้องมีความเข้มแข็งในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร และความมั่นคง เพื่อที่ศัตรูจะได้ไม่สามารถก่อความเสียหายให้กับเราได้ ด้วยเหตุนี้เอง ขณะที่บางคนคิดว่า หากว่าเราถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว พวกสหรัฐก็จะไม่เป็นศัตรูกับเราแล้ว ซึ่งถือว่า คำพูดเช่นนี้เป็นคำพูดที่ผิดพลาดอย่างมาก”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้อีกเช่นกันถึงการวิเคราะห์ที่ผิดพลาดที่ว่าพวกท่านอย่าได้กระทำการอะไรก็ตามที่ทำให้พวกสหรัฐมีความโกรธเป็นอันขาด โดยท่านผู้นำได้ตอบกลับไปว่า “คำพูดเช่นนี้ ตรงกันข้ามกับพระบัญชาของพระผู้อภิบาลในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่พระองค์ทรงตรัสว่า การเติบโตของต้นกล้าที่สง่างาม และบรรดาเยาวชน ผู้ศรัทธา แน่นอนยิ่งว่าได้ทำให้ศัตรูต้องรู้สึกไม่พอใจและมีความโกรธอย่างมาก และแน่นอนอีกที่มากไปกว่านี้ก็คือ พวกเขาก็รู้สึกโกรธต่อเยาวชนเหล่านี้ ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ ความรู้ การเพียรพยายาม การให้บริการและทางการทหาร”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การลงมติของรัฐสภาที่มีต่อระบอบการก่อการร้ายของสหรัฐเมื่อวานนี้นั้นดีเป็นอย่างมาก โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “การลงมติของรัฐสภาอิรักที่มีการอนุมัติให้ขับไล่กองทัพสหรัฐออกจากประเทศนี้ก็เช่นกัน เป็นการกระทำที่ดีอย่างมาก และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระเจ้าจะทำให้การเคลื่อนไหวเช่นนี้มีการดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวในช่วงแรกของการปราศรัยของท่าน โดยท่านได้ชี้ถึงเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างมาก ทั้งยังเป็นสร้างประวัติศาสตร์ให้กับประเทศ กล่าวคือ เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 เดือนเดย์ ปี 1356(9 มกราคม 1978) โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “เราจะต้องรำลึกความทรงจำและความลึกซึ้งของผลต่างๆของเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้ และเราจะต้องนำเอามาเป็นบทเรียนเพื่อเป็นทางนำและแสงสว่างบนเส้นทางของอนาคต”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 เดือนเดย์ 1356 ที่เมืองกุม เป็นการยืนหยัดของประชาชนชาวเมืองกุมในการเผชิญหน้ากับระบอบเผด็จการที่ไร้ซึ่งความเมตตาของทรราช โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ประชาชนเมืองกุมในวันนั้นได้ออกมาปกป้องมัรเญียะอ์(ผู้นำทางด้านศาสนบัญญัติ) และผู้นำที่ยิ่งใหญ่ กล่าวคือ ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฎ) ด้วยกับมือเปล่าของพวกเขา เพียงแค่ พวกเขานั้นพึ่งพายังความศรัทธาและความกระดากอายต่อศาสนาเท่านั้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ในวันนั้น ไม่ใช่เพียงผู้ลุกขึ้นต่อสู้เป็นชาวเมืองกุม และไม่ใช่ว่าระบอบเผด็จการ ที่พวกเขาคิดว่าสามารถปราบปรามประชาชนได้สำเร็จ และก็ไม่เคยคิดเลยว่า การเคลื่อนไหวครั้งนั้น จะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในอิหร่านเช่นนี้ แม้แต่มีการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของภูมิภาคและในโลก แต่กับเกียรติที่พระเจ้าทรงประทานให้การเคลื่อนไหวที่มีความศรัทธาและความกระดายอายทางศาสนา จนเป็นเหตุให้เกิดการรวมตัวในวันอัรบะอีนต่างๆ และในที่สุด การปฏิวัติอิสลามก็ได้รับชัยชนะโดยที่มีท่านอิมาม ผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นผู้นำ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า “เราจะต้องจดจำเสมอว่า การเริ่มต้นของการปฏิวัติอิสลามที่ยิ่งใหญ่นั้น เกิดจากการขับเคลื่อนอันบริสุทธิ์ใจของชาวเมืองกุม แม้ว่าจะเป็นกลุ่มชนที่มีจำนวนน้อยก็ตาม แต่ด้วยกับการชี้นำและอำนาจของพระเจ้าได้ทำให้กลายเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ และด้วยการชี้นำและการช่วยเหลือในทุกเหตุการณ์ ก็จะต้องพึ่งพายังความศรัทธาและความกระดากอายทางศาสนา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงมือที่เต็มเปี่ยมของประชาชาติอิหร่านในการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้ฉ้อฉลโลก โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่า เครื่องมือทางการทหารนั้นจะมีผลและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ก็จะต้องพึ่งพายังความศรัทธาและความกระดากอายทางศาสนาด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงสัญญาแห่งพระเจ้าที่บอกว่า ชนกลุ่มน้อยจะพิชิตเหนือกลุ่มชนส่วนมากด้วยกับการอนุมัติของพระองค์ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เงื่อนไขในการบรรลุยังสัญญาที่แท้จริง คือ การมีความศรัทธาและความกระดากอายทางศาสนา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวข้อเสนอแนะและเน้นย้ำให้บรรดาเจ้าหน้าที่ฝ่ายการโฆษณา การเผยแพร่ บรรดานักการศาสนาในเมืองกุมและเมืองอื่นๆ รวมทั้งประชาชนทุกคน และบรรดาเยาวชนทั้งหลายที่อยู่ในแวดวงด้านวัฒนธรรม ให้พยายามทำให้บทเรียนต่างๆเช่น การลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเมืองกุม เมื่อวันที่ 19 เดือนเดย์ ปี 1356 นั้นมีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “เราจะต้องจดจำเสมอว่า การเริ่มต้นนั้นมาจากการถูกรังแก กดขี่ข่มเหง แต่ด้วยกับการพึ่งพายังความศรัทธาและความกระดากอายทางศาสนา จะได้รับการช่วยเหลือจากพระผู้อภิบาลให้รอดพ้นจากเหตุการณ์ต่างๆได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ยกหลักฐานจากโองการอัลกุรอานเกี่ยวกับการที่จะไม่ลืมเลือนในการช่วยเหลือและความโปรดปรานของพระผู้อภิบาล โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “กลุ่มเผ่าพันธุ์บนีอิสรออีลได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าให้รอดพ้นจากการกดขี่ข่มเหงของระบอบที่ไร้ซึ่งความปราณีของฟาโรห์ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป พวกเขาก็ไม่มีความเชื่อมั่นต่อพระเจ้าและการไม่มีการมอบหมายการงานให้กับพระองค์ ทั้งพวกเขายังไม่มีความอดทนอีกต่อไปด้วย จนในที่สุด บั้นปลายของพวกเขาก็ต้องพบกับความต่ำต้อยและความโกรธาของพระเจ้า”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ปริมาณและคุณภาพของบรรดาเยาวชนที่มีศรัทธาและการยืนหยัดในการปฏิวัติอิสลาม นับจากช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลามได้เพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยเช่นกัน แต่ท่านผู้นำยังได้เน้นอีกว่า “เราจะต้องระมัดระวังว่ าเราจะต้องเดินตามเส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่งสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ เราจะต้องไม่ลืมต่อบทเรียนอันยิ่งใหญ่นี้ของอัลกุรอาน”

 

 

 

700 /